
“NRM” กลไกส่งต่อระดับชาติ ยกระดับคุ้มครองเหยื่อค้ามนุษย์ตามมาตรฐานสากล
‘ประเทศไทยได้ก้าวไปอีกขั้นในการต่อต้านการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน ด้วยการประกาศใช้ “กลไกการส่งต่อระดับชาติ” (National Referral Mechanism – NRM) อย่างเป็นทางการ กลไกนี้เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อช่วย เหลือ คุ้มครอง คัดกรอง คัดแยก และส่งต่อผู้เสียหายจากสถานการณ์การค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน โดยได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์แห่งชาติเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 NRM ได้รับการพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของกรอบการปฏิบัติงานเพื่อ
NRM กลไกเพื่อทุกคนที่ตกเป็นเหยื่อ กลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) ใช้สำหรับ บุคคลที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจะเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ ซึ่งรวมถึงผู้ใหญ่และเด็ก ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ การทำงานของกลไกนี้ยึดมั่นในหลักการสำคัญเพื่อปกป้องผู้เสียหายอย่างรอบด้าน เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของผู้เสียหาย
ผู้เสียหาย ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ จากเจ้าหน้าที่
การปฏิบัติงานมี ผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง และยึดประโยชน์สูงสุดของผู้เสียหายเป็นสำคัญ
การคุ้มครองและช่วยเหลือ คำนึงถึงบาดแผลทางจิตใจ ของผู้เสียหาย และไม่กระทำซ้ำ
ให้ความสำคัญกับ ความละเอียดอ่อนทางเพศ
รักษาความลับ ของผู้เสียหาย
4 ขั้นตอนสำคัญในการช่วยเหลือและคุ้มครอง กลไก NRM ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลักที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ สิ่งสำคัญคือ ในทุกขั้นตอน เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายเสียก่อน และจัดให้ผู้เสียหายมีระยะเวลาฟื้นฟูไตร่ตรองเพื่อทบทวนเรื่องราว รวมถึงการมีส่วนร่วมในกระบวนการคัดแยกและคุ้มครอง
ขั้นตอนการรับแจ้ง: หน่วยงานรับแจ้งเหตุไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคประชาสังคม สามารถรับแจ้งเหตุที่น่าสงสัยว่าจะเป็นการค้ามนุษย์หรือการบังคับใช้แรงงานได้ หน่วยงานเหล่านี้มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นและส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานด่านหน้าเพื่อดำเนินการคัดกรอง หรือพิจารณาคัดกรองเองหากเป็นหน่วยงานด่านหน้าอยู่แล้ว
ขั้นตอนการคัดกรอง: มีวัตถุประสงค์เพื่อสืบหาข้อมูลและตัวชี้วัดเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานการณ์การค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาสถานะของบุคคลที่ได้รับส่งต่อมา ในขั้นตอนนี้ ควรมีอย่างน้อย 1 หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องเข้าร่วม เช่น เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสำหรับกรณีผู้อพยพย้ายถิ่น หรือ สร.ช. สำหรับผู้ประสบเหตุทางทะเล หากหน่วยงานด่านหน้าเชื่อว่าบุคคลนั้นน่าจะเป็นผู้เสียหาย จะส่งต่อรายงานสถานการณ์เพื่อการคัดแยกและพิจารณาสถานะผู้เสียหายต่อไป
ขั้นตอนการคัดแยก: เป็นการคัดแยกและพิจารณาสถานะผู้เสียหายอย่างเป็นทางการ โดยหน่วยงานผู้มีหน้าที่ในการคัดแยกในทีมสหวิชาชีพ การพิจารณาขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้รับจากการสัมภาษณ์และข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้รับมาในช่วง ระยะเวลาฟื้นฟูไตร่ตรอง 15 วัน ซึ่งสามารถขยายออกไปได้เป็นรายกรณี กระบวนการนี้สามารถดำเนินการได้ทั้งในศูนย์บูรณาการการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (โดยเฉพาะกรณีชาวต่างชาติที่ไม่มีสิทธิ์อยู่ในประเทศ) หรือในสำนักงานของหน่วยงานผู้มีหน้าที่คัดแยก โดยมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกระทรวงแรงงาน (รง.) ปฏิบัติงานร่วมกัน
ขั้นตอนการคุ้มครอง: ขั้นตอนสุดท้ายนี้จะมุ่งเน้นไปที่การให้ความคุ้มครองแก่บุคคลที่ได้รับการพิจารณาคัดแยกแล้วว่าเป็นผู้เสียหาย กระทรวง พม. จะเป็นหน่วยงานหลัก ในการจัดให้มีความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการและความยินยอมของผู้เสียหายแต่ละคน เช่น การจัดหาสถานคุ้มครอง การให้บริการบำบัดฟื้นฟูเยียวยา การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย การส่งกลับ และการกลับคืนสู่สังคม บริการข้างต้นอยู่ภายใต้กรอบ ระยะเวลาฟื้นฟูไตร่ตรอง 30 วัน ซึ่งสามารถขยายระยะเวลาออกไปได้ตามความต้องการและความยินยอมของผู้เสียหาย ผู้เสียหายจะได้รับคำปรึกษาเพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือไม่ หากผู้เสียหายไม่ประสงค์จะรับความช่วยเหลือ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (สคม.) จะรายงานต่อกองต่อต้านการค้ามนุษย์เพื่อประสานส่งกลับภูมิลำเนา แต่หากผู้เสียหายประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย สถานคุ้มครองจะประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินส่วนของการสืบสวนสอบสวนและให้ความคุ้มครองผู้เสียหาย โดยในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นเด็ก กระบวนการต่าง ๆ จะเป็นไปตามหลักการในพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
ตอกย้ำพันธกรณีสากลเพื่อการคุ้มครองที่ยั่งยืน กลไก NRM ถือเป็นการพัฒนาที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเป็นผลจากการทำงานร่วมมือร่วมใจกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรระหว่างประเทศ กลไกนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อ สอดรับกับพันธกรณีที่ประเทศไทยจะต้องปฏิบัติตามพันธสัญญาต่าง ๆ ที่ได้ลงนามไว้กับองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การสหประชาชาติ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมทั้งการบังคับใช้แรงงาน มีวัตถุประสงค์หลักในการมุ่งเน้นไปที่การให้ความคุ้มครองแก่ผู้เสียหายเป็นอันดับแรก สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และนำไปสู่ประสิทธิภาพในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการคุ้มครองและมีการพัฒนาในการคุ้มครองช่วยเหลืออย่าง มั่นคงและยั่งยืน
อย่าลืม..กดติดตามช่อง FreeGen บน YouTube, Facebook, IG, X(Twitter) และ TikTok แชร์ต่อ เพื่อเผยแพร่ความรู้ที่อาจช่วยปกป้องคนที่คุณห่วงใยได้ และร่วมสร้างสังคมที่ปลอดภัยจากปัญหาการค้ามนุษย์
#FreeGen #การค้ามนุษย์ #ภัยออนไลน์ #ปกป้องตัวเอง #กฎหมายไทย #humantrafficking #stoptrafficking
